หลักการและทฤษฎี ของการพัฒนาชุมชนนั้นเรามี.และยึดหลักการเหล่านี้ในการทำงานอยู่แล้ว.. ไม่ว่าหลักการมีส่วนร่วม แนวคิดของการพึ่งพาตนเอง เรื่องของชุมชนเข้มแข็ง การทำงานโดยระบบกลุ่ม ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องที่เราทำกันมาโดยตลอด ส่วนเรื่องทักษะในการทำงาน เช่น ทักษะการเป็นวิทยากรกระบวนการ ทักษะการพูด.. ทักษะเหล่านี้คนเป็นพัฒนากรต้องมี ถ้าไม่มีก็จบ ...ตรงนี้ถือว่าพวกเรามีทักษะกัน….
อุดมการณ์ ก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่มีอุดมการณ์ งานพัฒนาชุมชนจะเดินไปไม่ได้ เพราะว่าคนทำงานเป็นพัฒนากร ต้องทำงานแบบเชิงรุกจึงจะสำเร็จ ปัจจุบัน...พัฒนากรจะทำงานแบบสบายๆ ก็ได้ หรือจะทำงานแบบเหนื่อยก็ได้ ทำงานแบบสบายก็คือ กรมฯ สั่งอะไรมาก็ทำ ทำให้เสร็จ แต่ถ้าทำแบบมีใจรัก.. ก็ต้องคิดว่า ถ้าเรารับผิดชอบพื้นที่นี้ ข้อมูลเป็นอย่างนี้ สถานการณ์แบบนี้ ผู้นำแบบนี้ ทีมงานเป็นอย่างนี้ เราจะทำงานอย่างไร ? ให้มันออกมาดี.. ต้องคิด แล้วก็ลงมือทำ นี่คืออุดมการณ์…
สุดท้ายคือเรื่องเครือข่าย... พัฒนากรเราจะเป็นเหมือนอรหันต์แห้ง คือรู้แต่ทฤษฎี รู้แต่สิ่งที่คนอื่นทำ หรือเขาเล่าให้เราฟัง...เราไม่ได้ลงมือทำเอง ถ้าเราอยากเป็นผู้เชี่ยวชาญ.. เราก็ต้องลงมือทำเอง แต่เราไม่สามารถทำเองได้ทุกอย่าง เครือข่ายจะช่วยเราได้ ถ้าเรามีเครือข่ายในการทำงาน จะทำให้เรามีกำลังใจ มีเพื่อน มีองค์ความรู้ ที่หลากหลาย นี่คือความคิดความเชื่อเบื้องต้น ว่าทำไมเราถึงต้องสร้างเครือข่าย... ด้วยความเชื่อแบบนี้ พอผมต้องไปอยู่ในพื้นที่อำเภอวังเหนือ จ.ลำปาง ก็จะเริ่มต้นจากวิเคราะห์สถานการณ์ในการทำงานของเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนว่า เป็นอย่างไร ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่เราทำงานทางด้านเอกสารเยอะ อยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ รายงานบางเรื่องใช้เวลาทำถึง 2 วันจึงจะเสร็จ เพราะจะต้องหาข้อมูลประกอบด้วย การลงพื้นที่ของพวกเราส่วนใหญ่ก็จะเป็นกิจกรรม /งาน/โครงการที่ใช้งบประมาณตามยุทธศาสตร์ของกรมฯ ซึ่งมีน้อยมาก บางตำบลในรอบปี ไม่มีงบประมาณกรมฯ สนับสนุนเลย คนที่ลงพื้นที่จริงๆ เพื่อไปทำงานกับชาวบ้าน/ชุมชน ...จึงต้องเป็นคนที่มีใจรัก และยิ่งถ้าพัฒนาการอำเภอ ไม่กระตุ้น ไม่ส่งเสริมให้ออกพื้นที่ แต่ขอให้ทำงานบนสำนักงานให้เสร็จ ก็จะเป็นเงื่อนไขสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้พัฒนากรไม่ลงพื้นที่กัน พอวิเคราะห์สถานการณ์ได้แบบนี้ ก็รู้ว่าเราต้องทำงานเชิงรุกในพื้นที่และต้องมีเพื่อนร่วมงานในพื้นที่...มีเครือข่ายการทำงานพัฒนาชุมชน…
เมื่อรู้สถานการณ์ของเราเป็นแบบนี้แล้ว ได้ไปศึกษางานในพื้นที่ว่าหน่วยงานอื่น.. องค์กรอื่น.. ที่ทำงานในพื้นที่มีใครบ้าง... อย่างไร... มีความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จอย่างไร เขามีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร แล้วเรามีศักยภาพมากน้อยแค่ไหน จะช่วยเหลืออะไรเขาได้บ้าง...
วิธีการของผู้เล่าคือ ไปช่วยเขาทำงานก่อนทุกเรื่อง หลังจากเข้าไปแนะนำตัวแล้ว ก็จะปวารณาตัวว่าเราอยากจะช่วยเหลือเขาหากมีงานอะไรให้ช่วยได้ ยังไม่ต้องคำนึงถึงว่างานนั้นจะเกี่ยวข้องกับงานของเราหรือไม่อย่างไร ไปช่วยเขาก่อน... ให้ได้ใจก่อน งานของสาธารณะสุข... งานของปกครอง...งานของพระสงฆ์...ฯลฯ จะไปช่วยเขาทำงานตลอด...พอเขาเห็นศักยภาพของเรา มีงานอะไรก็จะเรียกหาเรา พอเรามีงานบ้างก็สามารถขอเขามาช่วยได้ นี่คือวิธีลงไปทำงานกับเครือข่าย นอกจากนี้ .. เราต้องเรียนรู้ข้อจำกัดของแต่ละเครือข่าย และต้องยอมรับข้อจำกัดนั้นๆ ด้วย
ที่ตำบล ร่องเคาะ อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง...เครือข่ายสำคัญในการทำงาน คือพระสงฆ์ ถ้าแต่งตั้งให้เป็น อาสาพัฒนาชุมชน ( อช.) ได้ อยากจะให้ท่านเป็น เพราะสามารถทำงานแทนเรา..พัฒนากรได้เลย ผมเข้าใจที่น้องๆ พัฒนากรบางคนบอกว่าอยากจะทำงานในพื้นที่ แต่ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ผมโชคดีคือ พอเขา(เครือข่าย)จะทำอะไรผมจะอาสาช่วย และเขาจะบอกเราตลอดว่าจะทำอะไรเมื่อไร... และเรียกร้องให้เราไปช่วย พระสงฆ์ที่นี่ ทำเรื่องการส่งเสริมอาชีพเยาวชน ทำเรื่องศูนย์เรียนรู้ ทำเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ และการสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ ซึ่งก็คืองานของเราทั้งนั้น พระท่านจะของบประมาณมาเองทั้งหมด เราไปช่วยในเรื่องของ การจัดหลักสูตรให้.. การเป็นวิทยากรให้ แต่เราก็ต้องอุทิศตัว.. เพราะงานของท่านจะตรงกับวันเสาร์- อาทิตย์ เช่น งานเยาวชน เพราะวันธรรมดาเยาวชนต้องเรียนหรือทำงาน นี่คือการทำงานกับเครือข่ายพระสงฆ์ อีกเครือข่ายคือ ปลัด อบต. ซึ่งเป็นคนเก่ง เราก็จะบอกเขาว่า เราอยากทำงานด้วย อยากเรียนรู้การทำงานร่วมกับเขา เพราะเราไม่มีประสบการณ์ การทำงานในพื้นที่มากเท่าเขา เราเสนอตัวช่วยเขา เพื่อให้เขาเห็นว่าการทำงานร่วมกันจะทำให้การทำงานไม่ซ้ำซ้อน เราและเขาเองก็ไม่เหนื่อย ชาวบ้านก็ไม่เหนื่อย พอเขามีงานเราก็ไปช่วยเขาทำงานจริงๆ ตามที่ได้เสนอตัวไว้..
ทักษะในการทำงานที่พัฒนากรเราต้องมีคือ ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการจับประเด็น... พอลงไปจัดเวทีในพื้นที่จริงๆ ถ้าพัฒนากรพูดอะไรไม่ได้เลยก็ไม่มีประโยชน์ ในพื้นที่เขาต้องการให้เราช่วยเหลือในเรื่องวิทยากรกระบวนการ การตั้งข้อสังเกต การจับประเด็น และการเชื่อมโยงสิ่งที่เขาพูดคุยกัน ในเวทีหากมีช่วงจังหวะที่เราจะได้แลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น.. ก็ควรจะเปิดตัวแสดงศักยภาพ เราก็จะเป็นที่ปรึกษาเขาไปโดยอัตโนมัติ... ผู้เล่าใช้วิธีนี้กับปลัด เดี๋ยวนี้เวลามีการอบรม หรือมีการประชุมก็จะขอให้เราไปช่วย..เช่นในวันนี้ก็เป็นวิทยากรกระบวนการในโครงการจัดทำยุทธศาสตร์พัฒนาด้านสังคมของศูนย์พัฒนาสังคม กระทรวงพัฒนาสังคม เขาจะทำการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การจัดกิจกรรมของเด็กสตรีเยาวชนผู้สูงอายุ ทำเป็นตำบลต้นแบบ.. ดังนั้นการขับเคลื่อนจึงต้องทำเป็นระบบ จะทำอย่างไรให้เกิดการขับเคลื่อนในระดับตำบล ก็เอาแกนนำๆ 4-5 คน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิก อบต. เยาวชน ผู้สูงอายุ พระสงฆ์ มานั่งคุยกัน มีกระบวนการคือ ให้เสนอข้อมูลของแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานที่เขาทำอยู่และปัญหาที่มี กำหนดแนวทางแก้ไข และวางแผนการทำงานร่วมกัน ซึ่งกระบวนการในลักษณะชวนคุยเหล่านี้ ถ้าพัฒนากรมีศักยภาพตรงนี้ก็จะช่วยเขาได้เยอะ ซึ่งผู้เล่าคิดว่าพัฒนากรเราทำกระบวนการตรงนี้ได้ดีกว่า เพราะโดยบุคลิกลักษณะของคนพัฒนาชุมชนจะพูดเก่งอยู่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้พูดเก่งแล้ว.. ก็ต้องฟังเก่งด้วย ถึงจะเป็นวิทยากรกระบวนการได้ เรากระตุ้นให้เขาพูด ให้ตรงจุดตรงประเด็น พูดเป็นเรื่องเป็นราว ให้เป็นประเด็นๆไป ปัจจุบันในพื้นที่ เครือข่ายสาธารณสุขก็เป็นเครือข่ายที่สำคัญ เขาทำงานพัฒนาชุมชนเยอะ งานของพัฒนาสังคมก็จะลงไปที่สาธารณสุขเยอะ เรื่องสวัสดิการต่างๆ ทั้งเรื่องสุขภาพ สิ่งแวดล้อม อาหารปลอดสารพิษ ความสะอาด ทำทุกเรื่อง..เพราะเขามีคนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขส่วนใหญ่ก็เป็นคนในพื้นที่ด้วย ถ้าเราเป็นเครือข่ายกับเขาได้ ก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น ข้อมูลต่างๆเราก็รับรู้จากเขาได้เยอะ เขาทำงานคล้ายกับเรา ซึ่งจะช่วยให้งานของเราดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ก็จะทำงานกับเครือข่ายเกษตร เครือข่ายของผู้นำ แกนนำต่างๆ เครือข่ายที่จังหวัดลงไปทำกับอำเภอ และเครือข่ายข้างนอก เช่น เครือข่ายปูนซีเมนต์ เครือข่าย สกว. เป็นต้น ผู้เล่าได้ทำงานร่วมกับ สกว. มาก่อนแล้ว พอลงมาอยู่ในพื้นที่ เขาอยากทำงานวิจัยกับ สกว. เราก็แนะนำเชื่อมต่อประสานให้..
การที่จะทำให้เครือข่ายอยู่ได้อย่างยั่งยืน...ต้องมีกิจกรรม... กิจกรรมนั้นอาจเป็นกิจกรรมที่คิดร่วมกันก็ได้ คือต้องมีส่วนร่วมในการคิด และมีเวทีพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง การทำงานกับเครือข่ายมีข้อดีคือ การทำงานเป็นเหมือนภาคประชาชน ไม่เป็นระบบสั่งการแบบข้าราชการ ไม่มีใครเป็นลูกน้องใคร ทุกคนเท่าเทียมกัน... ไม่ว่าจะเป็นปลัด.. พระสงฆ์ ฯลฯ ดังนั้น พอรู้สึกว่าเท่าเทียมกัน ก็ทำให้ไว้วางใจกัน รู้สึกว่าไม่เอาเปรียบกันก็จะช่วยเหลือกัน.. เครือข่ายมีเวทีพูดคุยกันต่อเนื่อง ต้องมีการประชุม ถ้าไปร่วมด้วยไม่ได้ก็จะต้องโทรศัพท์บอกกันว่าไปไม่ได้จริงๆ เขาก็จะเห็นความสำคัญของเรา ถ้าเรามีศักยภาพอะไรต้องแสดงออกอย่างเต็มที่ เรามีความสามารถในการเป็นวิทยากรกระบวนการ เราก็ใช้ความสามารถตรงนี้ไปช่วยเขาทำงาน คือเราต้องให้เขาก่อน... สิ่งที่ได้จากเครือข่ายก็คือ กำลังใจ ข้อคิด ได้วิธีทำงาน ถ้าเรามีเวทีพูดคุยกันบ่อยๆ จะทำให้มองเห็นว่าเครือข่ายกำลังทำงานอะไร แล้วงานของเรามีอะไรบ้าง ก็จะสามารถนำงานของเราทำร่วมกันกับงานของเครือข่ายได้เลย อีกทั้งจะได้งานทำด้วยกันต่อๆไปอีก... เกิดการยอมรับ และทำงานแบบพี่แบบน้อง อีกอย่างที่สำคัญคือต้องไม่เป็นทางการ ไม่ต้องทำเป็นหนังสือตอบกันไปมา ..ซึ่งจะทำให้รู้สึกว่ามันยาก หรือต้องทำเพราะถูกสั่งให้ทำ
การทำงานกับเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ
เครือข่ายจะอยู่ได้ เพราะคนที่มาอยู่ทำงาน...มีผลประโยชน์ร่วมกัน คือเกิดประโยชน์กับงานของเราเอง หรืออาจไม่ใช่เรื่องของงาน แต่เป็นประโยชน์ของความภาคภูมิใจ การได้มีส่วนร่วม ถือเป็นผลประโยชน์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้าจะให้เครือข่ายเดินไปได้ ก็ต้อง 1. มีการพูดคุยกัน 2. มีกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง หลังทำกิจกรรมแล้ว 3. ต้องมาพูดคุยกัน 4. สิ่งที่จะผูกมัดได้ คือประโยชน์ที่แต่ละคนจะได้รับ จากการมาร่วมกันเป็นเครือข่าย ความภาคภูมิใจในตัวเอง ที่ส่งผลต่องานของตัวเอง5. เครือข่ายจะยั่งยืนต้องมีความไว้วางใจกัน 6. ไม่เอาเปรียบกัน 7. ให้เกียติซึ่งกันและกัน ไม่มีใครอยู่เหนือใคร นี่คือเครือข่ายที่ทำงานกันในพื้นที่
ตัวเราเองคนพัฒนาชุมชนต้องมีความเชื่อว่า งานจะสำเร็จได้เครือข่ายเป็นเรื่องสำคัญ เราจึงจะต้องให้ความสำคัญกับเครือข่ายเพราะเราไม่สามารถทำได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะในปัจจุบัน พช ไม่มีเรื่องเงินงบประมาณไปสนับสนุน เราต้องเข้าไปตัวเปล่า เงินอยู่ที่เครือข่ายทั้งนั้น ประสบการณ์ในพื้นที่ก็อยู่ที่เครือข่าย เวลาจะลงไปทำงานเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นอกจากความเชื่อเรื่องเครือข่ายแล้ว ต้องมีใจที่จะทำ ช่วงแรกๆพวกเขาอาจจะยังไม่เชื่อมั่นเรา เราจะต้องเจออะไรหลายๆอย่าง เช่นคำพูดที่ว่า งานพัฒนาชุมชนไม่เห็นมีอะไรซักอย่าง.. เห็นทำแต่เรื่อง จปฐ. พัฒนากรบางคนพอโดนกระทบ ก็จะมีอคติทันที เราต้องอดทน เพราะคนนอกเขามองเห็นแบบนั้นจริงๆ แต่พอเราตั้งใจทำงานไปอีกสักระยะหนึ่ง พวกเขาจะเห็นเองว่าทุกเรื่องทุกงานที่เป็นการสร้างชุมชนเข็มแข็งนั้น ล้วนเป็นงานของเราพัฒนาชุมชน และเขาก็จะยอมรับเราในที่สุด... ต้องเป็นผู้ให้ก่อน เวลาเรามีงานถึงจะเข้าพื้นที่ แบบนี่จบ... ถ้าเครือข่ายมีงานอะไร เราเข้าไปช่วยเขาก่อน ใช้ปรัชญางานพัฒนาชุมชน การให้เกียติ ศักดิ์ศรี ให้โอกาส มีแล้วต้องยึดถือและปฏิบัติด้วย เพราะเครือข่ายเรามีทั้ง ระดับผู้นำ และเจ้าหน้าที่ บางคนมีตำแหน่งหน้าที่ บางคนไม่มีตำแหน่งอะไรเลย บางคนจบปริญญาโท บางคนระดับประถม การพูดคุยจึงไม่ได้พูดเฉพาะระหว่างคนมีความรู้ความสามารถ จึงต้องให้เกียติคนเหล่านี้ด้วย ถึงแม้ไม่ได้มีการศึกษาสูง แต่พวกเขามีฐานศรัทราในหมู่บ้าน/ ชุมชนที่เขาอยู่ การทำงานจึงต้องยึดปรัชญาพัฒนาชุมชน และต้องยึดหลักการพัฒนาชุมชนด้วย การมีส่วนร่วม ประชาธิปไตย การพึ่งตนเอง เวลาจะทำกิจกรรมอะไร ก็ต้องคิด ทบทวนว่า อะไรบ้างที่เราสามารถทำด้วยตัวเองได้ และลงมือทำร่วมกันจึงจะรู้จิตรู้ใจกัน ...
การทำงานกับเครือข่าย... บางทีก็ต้องย้อนมาที่หลักการทำงาน... ซึ่งผมยึดหลักการที่ ดร.สมคิด แก้วทิพย์ ( ม.แม่โจ้ / สกว. ) เคยบอกกับพวกเราว่ากระบวนการทำงานของนักพัฒนานั้นต้อง.. ลงล่าง สร้างฐาน สานข่าย ใช้กระบวนการเรียนรู้...สู่ชุมชนเข็มแข็ง ซึ่งถือเป็นหลักการในการทำงานกับชุมชน จะทำอะไรก็ตามต้องลงไปถึงชุมชน คือ การเข้าถึง สร้างฐานคือสร้างทีมให้เข็มแข็ง.. สร้างแกนนำ สานข่าย คือหาเครือข่าย ใช้กระบวนการเรียนรู้ ก็คือทำอะไรก็ตามต้องมีเรื่องข้อมูลเข้ามาเกี่ยวข้อง มีการวิเคราะห์ข้อมูล มีการกำหนดกิจกรรม วางแผนปฏิบัติ ลงมือทำ แล้วมาถอดบทเรียน ถ้าทำแบบนี้อย่างต่อเนื่อง ก็จะนำไปสู่ชุมชนที่เข็มแข็ง ตรงนี้เราต้องบอกกับเครือข่ายว่า เราต้องยึดหลักการตรงนี้ในการทำงานร่วมกัน.. อีกอย่างคือ ปลุกเร้า เข้าขา หาเป้า เข้าใจตรง ลงมือแก้..แค่ให้ได้บทเรียน... ปลุกเร้า คือ ต้องสร้างความอยากให้เกิดขึ้น เข้าขาคือ หาทีมให้ได้ ..หากลุ่ม หาแกนนำ หาเป้าคือ วางเป้าหมายกำหนดเป้าหมาย เข้าใจตรงคือ ทำความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายที่เราจะทำงานด้วย ซึ่งรวมไปถึงการวางแผนให้ไปถึงเป้าหมายด้วย ลงมือแก้ก็คือ ลงมือทำลงมือปฏิบัติ ทำเสร็จก็สรุปบทเรียนทุกครั้ง..แล้วก็ต้องกลับมาทบทวนดูแต่ละกระบวนการ/ขั้นตอนว่า ตรงไหนยังทำได้ไม่ดี..ยังอ่อนก็ต้องปรับปรุงแก้ไข.. ทำงานพัฒนาชุมชน..ทำงานกับเครือข่าย.ให้หลักการทำงานตรงนี้มันอยู่ในจิต..ในใจของเรา…..
ผู้ให้ข้อมูล /เจ้าของความรู้.. เทพ วงศ์สุภา 22 มิถุนายน 2553
ผู้เรียบเรียง/บันทึกข้อมูล...ทีมสนับสนุนจังหวัดลำปาง ศพช.ลำปาง
และนักศึกษาฝึกงานมหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง