วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความเชื่ออันงมงาย..( พระอาจารย์พรหม วังโส )

                   หลายศตวรรษมาแล้ว.. พระราชาองค์หนึ่งประสบปัญหาเรื่องเสนาบดี ที่ชอบเถียงกันมากเสียจนไม่สามารถหาข้อสรุปอะไรได้เลย พวกเขายึดถือธรรมเนียมการเมืองเก่าแก่ดั้งเดิมที่สุดที่แต่ละคนจะยืนยันว่า เขาเท่านั้นที่ถูก ขณะที่คนอื่นๆ ผิดหมด อย่างไรก็ตาม เมื่อพระราชาผู้เจ้าความคิดจัดงานเฉลิมฉลองในโอกาสพิเศษขึ้น เสนาบดีทุกคนก็พร้อมใจกันหยุดงานเพื่อไปร่วมงานฉลองนั้น
                   งานเฉลิมฉลองนี้จัดขึ้นอย่างน่าตื่นตาตื่นใจในสนามกีฬาใหญ่ มีทั้งการร้องรำทำเพลง เต้นระบำรำฟ้อน กายกรรม ตัวตลก ดนตรีและอื่นๆ อีกมากมาย ในฉากสุดท้าย ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมาก และแน่นอนว่าบรรดาเสนาบดีทั้งหลายย่อมจับจองที่นั่งที่ดีที่สุด องค์พระราชาเองพาช้างหลวงเข้ามาตรงกลางสนาม ตามมาด้วยชายตาบอดเจ็ดคน ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วเมืองว่า ตาบอดมาแต่กำเนิด และไม่รู้ว่าช้างคืออะไร
                    พระราชาจับมือชายตาบอดคนแรก ช่วยให้เขาสัมผัสงวงช้างและบอกเขาว่านี่คือช้าง แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยชายคนที่สองให้ได้สัมผัสงาช้าง คนที่สามสัมผัสที่หู คนที่สี่สัมผัสที่หัว คนที่ห้าสัมผัสที่ตัว คนที่หกสัมผัสขาและคนที่เจ็ดสัมผัสหาง โดยบอกทุกคนว่านี่คือช้าง หลังจากนั้นพระองค์ก็กลับมาที่ชายตาบอดคนแรก และขอให้เขาเล่าดังๆ ว่าช้างคืออะไร







“เหลวไหล! มันเป็นงู” “ไม่ใช่! มันเป็นตุ่ม” “ไม่มีทาง! มันเป็น ....” แล้วบรรดาชายตาบอดเหล่านั้นก็เริ่มต้นถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน จนกลายเป็นการตะโกนแผดเสียงที่ทั้งดังและไม่จบสิ้น  เขาพ่นคำสบประมาทต่างๆ ใส่กันเท่านั้นยังไม่พอ ยังแถมรัวกำปั้นใส่กันอีกด้วย...

แม้ว่าชายตาบอดเหล่านั้นจะไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเขากำลังต่อยใครอยู่ แต่มันก็ไม่สำคัญหรอก ในสภาวะการทะเลาะเบาะแว้งอย่างดุเดือดนั้น เขากำลังต่อสู้เพื่อหลักการ เพื่อความถูกต้อง และเพื่อบูชาความจริง... เพียงแต่ว่ามันเป็นความจริงของแต่ละบุคคลเท่านั้น ...

ขณะที่ทหารของพระราชากำลังแยกผู้วิวาทตาบอดที่ฟกช้ำดำเขียวไปหมดออกจากกัน ฝูงชนที่อยู่ในสนามกีฬาต่างพากันหัวเราะเยาะบรรดาเสนาบดีซึ่งบัดนี้เงียบกริบและมีสีหน้าอับอาย ทุกคนในที่นั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่า พระราชาต้องการที่จะสอนบทเรียนอะไร (หมายเหตุ นิทานเรื่องนี้มีเค้าโคลงเรื่องมาจาก ขุทกนิกายอุทาน และ ขุทกนิกายชาดก)

          พวกเราแต่ละคนอาจจะรู้แต่เพียงบางส่วนของเรื่องทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นเรื่องจริง หากเรายึดมั่นถือมั่นในความรู้อันจำกัดของเราว่าเป็นความจริงอันสมบูรณ์ เราก็จะเหมือนกับชายตาบอดที่ได้สัมผัสแต่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของช้าง แล้วด่วนสรุปว่า ประสบการณ์เพียงแค่เศษเสี้ยวของเขานั้น เป็นความจริงอันสมบูรณ์ ส่วนคนอื่นๆ นอกจากเขาแล้วล้วนผิดหมด

 “ช้าง” คืออะไรบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนหินก้อนใหญ่ ตั้งอยู่บนลำต้นไม้ที่มั่นคงและแข็งแรงสี่ต้น มีแส้ปัดแมลงอยู่ที่ด้านหลัง ส่วนด้านหน้าเป็นเหมือนตุ่มน้ำขนาดใหญ่ ที่ด้านข้างทั้งสองมีพัดใบตาล มีคันไถอยู่สองด้ามชี้ลงเบื้องล่าง และมีงูหลามตัวยาวอยู่ตรงกลาง! นับได้ว่าเป็นการบรรยายถึงช้างสักตัวที่ไม่เลวนักสำหรับผู้ที่ยังไง ๆ ก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นช้างตัวจริง...
(....ได้ใช้เล่าประกอบการอบรมผู้นำชุมชนของศูนย์ฯลำปาง..เพื่อทำความเข้าใจเรื่องกรอบคิด/กระบวนทัศน์/วิธีคิด...ที่แตกต่างกัน...)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ช่วยแลกเปลี่ยนด้วย..