1.ทบทวน KM-4(สรุปบทเรียนจากการฝึกปฏิบัติ-จับคู่เล่าเรื่อง)
2.ให้ทีมสนับสนุนจังหวัดเล่า+ภาพประกอบทีมละ 10 นาที
3.สรุปบทเรียนร่วมกัน
*คาดหวังว่าอย่างไร **อะไรที่เกิดขึ้นจริง (ที่ทำได้ดีและทำได้ไม่ดี) ***ทำไมเป็นเช่นนั้น..****ได้เรียนรู้อะไร+ข้อเสนอแนะที่จะทำให้ทำได้ดีในครั้งต่อไป..
4.การบันทึกเรื่องเล่า...สกัด/วิเคราะห์เป็นขุมความรู้..และแก่นความรู้
5.จะช่วยกันจัดการความรู้คนในศูนย์ฯอย่างไร?
*เล่าเรื่อง?
*บันทึกองค์ความรู้?
6.วางแผนปฏิบัติการKMคนศูนย์ฯ เข้าคลังความรู้
หลังจากแต่ละทีมงานฯ ได้เล่าเรื่องราวสู่กันฟัง ถึงวิธีการที่ไปจัดเก็บความรู้บุคคลเป้าหมายในพื้นที่ 8 จังหวัด พร้อมกับมีการฉายภาพประกอบไปด้วย โดยเฉพาะทีมงานสนับสนุนจังหวัดแพร่/น่าน นำทีมโดย ดร.สงัด หมื่นตาบุตร ได้ถ่ายภาพบรรยากาศการออกพื้นที่เป็นคลิปวีดีโอนำเสนอแบบ กบนอกกะลา...เชียวนะ..
การเริ่มต้นเวทีสรุปบทเรียนฯ ด้วยบรรยากาศแบบเล่าสู่กันฟัง..และมีภาพประกอบให้บรรยากาศ..สภาพพื้นที่..และวิธีทำงานของแต่ละทีมงาน..ทำให้เวที KM-5 ครั้งนี้ เคลื่อนต่อไปด้วยความเป็นกันเอง..เป็นพี่เป็นน้อง..มีน้องนักศึกษาฝึกงานจาก ม.ราชภัฎลำปางทั้งสี่คนช่วยเก็บประเด็น..สรุปผลขึ้น mind-map ให้..
สรุปบทเรียน..การปรับใช้เทคนิคStorytelling ของทีมศูนย์ฯ
เราเลือกเฉพาะประเด็นที่เป็นข้อค้นพบของทีมฯ ที่ทำให้การจัดเก็บความรู้ในพื้นที่ครั้งนี้ทำได้ดีเท่านั้น..
คนเล่า(บุคคลเป้าหมาย 8 จังหวัด) จะเล่าได้ดีเพราะ มีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ทั้งเตรียมประเด็นและเนื้อหารายละเอียดของเรื่องราวประสบการณ์ที่จะเล่า คนเล่ามีประสบการณ์ในการลงมือปฏิบัติ มีภูมิความรู้ในเรื่องที่จะเล่า และอยากเล่าอยากเผยแพร่ประสบการณ์ความรู้ต่อเรื่องเล่านั้นๆ..
คนฟัง..ก็คือทีมงานของศูนย์ฯ ตั้งใจฟัง..มีการชื่นชมเป็นระยะๆ มีการประสานงานพูดคุยกับคนเล่าเรื่องล่วงหน้า ทั้งเรื่องหัวข้อความรู้/ความสำเร็จที่บุคคลเป้าหมายจะเล่า และประเด็นคำถามหลักๆ..ให้ได้เตรียมตัวล่วงหน้า
คนบันทึกข้อมูล มีเครื่องมือช่วย..เครื่องบันทึกเสียงจะช่วยเก็บรายละเอียดหรือประเด็นสำคัญๆได้ดีกว่าการจดบันทึก/จับประเด็นอย่างเดียว..และถ่ายภาพนิ่ง หรือวีดีทัศน์ไว้..เพราะรูปภาพสามารถอธิบาย..ให้เห็นบรรยากาศ..ภาพรวม..ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
คนซักถาม..(บางทีมก็คือคนเดียวกันกับคนฟัง/คนบันทึก)..ตั้งใจฟังคนเล่า..ปล่อยให้คนเล่าๆตามสบาย จะถามด้วยความสนใจและถามเพื่อให้คนเล่าให้รายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น และรู้จังหวะที่จะถาม..ถ้าคนถามเข้าใจหรือศึกษาประเด็นเรื่องเล่านั้นๆมาก่อน จะทำให้สามารถดึงเอาความรู้ ประสบการณ์จากคนเล่าได้ดี
และช่วยกันสร้างบรรยากาศทั้งคนเล่าและทีมงานฯ.ให้อยากเล่าอยากคุย เป็นกันเอง ไม่เร่งรีบ..สนุกสนาน..เฮฮา..ได้ความรู้..
ความรู้ในตัวคน พช.เรามีมากมาย..หลากหลาย.. ทำอย่างไร? จะเอาออกมาแชร์กัน มาเผยแพร่..ให้พี่น้อง พช.เรา...หลังจากพวกเราได้ลงพื้นที่ บันทึกความรู้จากพี่น้อง พช.ผ่านการเล่าเรื่องมาแล้ว แต่ละทีมจังหวัดได้เอาข้อมูล..เรื่องเล่าที่ได้มาขีดเขียน..เรียบเรียง..และวิเคราะห์สังเคราะห์..จัดหมวดจัดกลุ่มความรู้เป็นขุมความรู้และแก่นความรู้...เผยแพร่ผ่านบล๊อกKMของศูนย์ฯ และส่งสถาบันการพัฒนาชุมชนเผยแพร่ตามโครงการ KM DELIVERYในช่วงเดือนกรกฎาคม2553..ที่ผ่านมา
เสียงสะท้อน..ที่เป็นข้อคิดเห็นเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
นี่นับเป็นครั้งแรก..ของคนศูนย์ฯลำปาง ที่ได้เผยแพร่ผลงานที่คิดว่าเป็นความรู้ของคน พช.ออกไป..จึงได้รับเสียงสะท้อนกลับมาอย่างมากมาย..ทั้งคำชื่นชมและข้อแนะนำ..ให้ปรับปรุง เพิ่มเติม หรือแก้ไข..ซึ่งเราทีมงานศูนย์ฯลำปางทุกคนขอน้อมรับด้วยความ..ขอบคุณอย่างมากมายค่ะ..ครับ..
ตัวอย่างข้อคิดเห็น...
บางเรื่องเป็นแค่เพียงบทความทางวิชาการธรรมดา ยังไม่ได้สะท้อนองค์ความรู้เกี่ยวกับงานพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะองค์ความรู้ภายในขององค์กร หรือบุคคล ที่ดึงเอาความรู้ที่ฝังอยู่ในตัว ออกมาตีแผ่ให้ชุมชนนักปฏิบัติได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกัน...เกรงว่าจะทำให้KMในความหมายที่แท้จริงถูกบิดเบือน...
มีระบบการติดตามประเมินผลหรือไม่..คนอ่านมีความพึงพอใจหรือมีข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง
ทุกประเด็นในขุมความรู้..ล้วนเป็นวิธีปฏิบัติ..เป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จใช่หรือไม่..
แก่นความรู้เป็นการสรุปประเด็น / จัดหมวดหมู่มาจากขุมความรู้ใช่ไหมค่ะ..
ฯลฯ
คำชื่นชมก็เยอะมากค่ะ...ผ่านมาทางระบบ 0A..พวกเราทีมงานKM ได้บทเรียนในครั้งนี้ร่วมกันว่า สุ จิ ปุ ลิ ...เป็นเรื่องที่พวกเราจะต้องฝึกฝนและเรียนรู้กันอีกเยอะมาก..ทั้งในเรื่องของ สูตะ - การฟัง จิตตะ - หรือจินตนาการ..รู้จักการคิด การวิเคราะห์..เชื่อมโยง เรื่องของปุจฉา รู้จักการตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบ..โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลิขิต..เราจะยังฝึกฝนการจดบันทึก การขีดเขียน... เพื่อเป็นนักจัดการความรู้ที่ดีต่อไป...จะพยายาม...